tag:blogger.com,1999:blog-13092032132501810222023-11-16T04:49:51.827-08:00Financialmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.comBlogger234125tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-82315905587631480532020-05-25T20:42:00.003-07:002020-05-25T20:42:22.009-07:00ราคาดุลยภาพ<div align="left" style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="font-family: arial,sans-serif; font-size: medium;"><strong>ราคาดุลยภาพ </strong> เป็นราคาที่ทำให้จำนวนเสนอซื้อ (อุปสงค์) เท่ากับจำนวนเสนอขาย (อุปทาน) ราคาใด ๆ ที่ต่ำกว่าราคาดุลยภาพจะทำให้เกิดอุปสงค์ส่วนเกิน และราคาใด ๆ ที่สูงกว่าราคาดุลยภาพจะทำให้เกิดอุปทานส่วนเกิน ราคาดังกล่าว จะปรับเข้าสู่ราคาดุลยภาพและราคาจะไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากจะมีการเคลื่อนย้ายเส้นอุปสงค์ และ/หรืออุปทาน ซึ่งอาจทำให้ราคาดุลยภาพใหม่ และ/หรือปริมาณดุลยภาพใหม่สูงขึ้นหรือลดลง</span></div>
<div align="left" style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="font-family: arial,sans-serif; font-size: medium;"> โดยปกติจะปล่อยให้กลไกราคาทำงานไปตามลำพัง โดยไม่เข้าไปควบคุมราคา ยกเว้นในกรณีที่จำเป็นซึ่งกลไกราคาไม่สามารถปรับตัวได้ทัน มาตรการที่ใช้รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงกลไกของราคาในตลาด เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมมี 2 มาตรการ คือ <strong>การกำหนดราคาขั้นต่ำ (การประกันราคา) </strong>ซึ่งจะกระทำเพื่อยกระดับราคาของสินค้าที่เป็นอยู่ให้สูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้ารายการที่สำคัญ เป็นการช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้ขาย อีกมาตรการก็คือ <strong>การกำหนดราคาขั้นสูง</strong> เป็นมาตรการที่ใช้กำหนดราคาสินค้าไม่ให้สูงเกินเพดาน จะใช้ในระหว่างเกิดขาดแคลนสินค้า ซึ่งการขาดแคลนสินค้าทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนผู้บริโภคเดือดร้อน</span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-47202664712483987912020-05-25T20:41:00.002-07:002020-05-25T20:41:26.735-07:00อุปสงค์ และ อุปทาน<div style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="font-size: medium;"><span style="font-family: arial,sans-serif;"><strong>อุปสงค์ </strong>คือ จำนวนสินค้าและบริการที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ ณ ระดับราคาต่าง ๆหรือ ณ ระดับรายได้ต่าง ๆ หรือ ณ ระดับราคาสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยปกติจะให้ความสำคัญกับเรื่องระดับราคามากที่สุด และเมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงไป จำนวนซื้อสินค้าและบริการชนิดนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามเสมอ ที่เป็นเช่นนี้เพราะผลของราคาซึ่งประกอบด้วยผลของการทดแทนกัน และผลของรายได้</span></span></div>
<div align="left" style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="font-family: arial,sans-serif; font-size: medium;"> เส้นอุปสงค์สามารถสร้างได้จากข้อมูลในตารางอุปสงค์ ซึ่งจะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคา และปริมาณซื้อ โดยปกติเส้นอุปสงค์จะเป็นเส้นทอดลงจากซ้ายไปขวา เส้นอุปสงค์สามารถเปลี่ยนแปลงไปทั้งเส้น โดยอยู่ทางขวามือหรือทางซ้ายมือของเส้นเดิมก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดอุปสงค์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ราคา ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ทำให้จำนวนซื้อมากขึ้นหรือน้อยลง</span></div>
<div align="left" style="background-color: white; color: #616161; font-family: "Open Sans"; font-size: 14px;">
<span style="font-family: arial,sans-serif; font-size: medium;"> <strong>อุปทาน</strong> คือ จำนวนสินค้าและบริการที่ผู้ขายต้องการขาย ณ ระดับราคาต่าง ๆ ซึ่งจำนวนขายจะเปลี่ยนแปลงในทางเดียวกันกับราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นเส้นอุปทานซึ่งเป็นเส้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและจำนวนขาย จึงเป็นเส้นทอดขึ้นจากซ้ายไปขวา เส้นอุปทานสามารถเปลี่ยนแปลงไปทางซ้ายมือหรือขวามือของเส้นเดิมได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดอุปทานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ราคา ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่จะทำให้จำนวนขายมากขึ้นหรือน้อยลง</span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-80996899141940843512019-08-14T23:59:00.002-07:002019-08-14T23:59:42.102-07:00Evaluation and controlการประเมินและควบคุมกลยุทธ์ (Evaluation and control) มีความสาคัญและมีความสัมพันธ์กับหน้าที่หลักในการจัดการเชิงกลยุทธ์ โดยทั่วไปองค์การจะมีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลแผนกลยุทธ์โดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องมีบุคลากรที่มีความรับผิดชอบเต็มเวลาที่สามารถทุ่มเทให้กับการ ติดตามและประเมินผลได้อย่างเต็มที่ หน่วยงานนี้ควรอยู่กับฝ่ายวางแผน อย่างไรก็ตาม ในการดาเนินกลยุทธ์นั้นจาเป็นต้องได้รับความร่วมมือที่ดีจากทุกฝ่ายตลอดเวลา จึงอาจมีความจาเป็นในการตั้งเป็นคณะกรรมการติดตามและประเมินผลแผนกลยุทธ์ที่ประกอบด้วยผู้แทนระดับบริหารจากฝ่ายต่าง ๆ ขึ้นร่วมด้วย<br />
การประเมินและควบคุมกลยุทธ์ คือกระบวนการซึ่งผู้บริหารได้ติดตามกิจกรรมและผู้ปฏิบัติงานขององค์การอย่างสม่าเสมอ เพื่อประเมินว่ากิจกรรมนั้น ๆ ได้รับการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลหรือไม่modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-8225656162503922602019-08-14T23:37:00.001-07:002019-08-14T23:37:36.196-07:00การกาหนดกลยุทธ์การกาหนดกลยุทธ์จึงมีความสาคัญมากต่อจุดหมายปลายทางในอนาคต การประมวลข้อมูลทั้งหมดจากการวิเคราะห์ส่วนประกอบ (Portfolio approach) โดยเฉพาะการวิเคราะห์ SWOT จะนามากาหนดเป็นกลยุทธ์ในระดับองค์การโดยรวม (Corporate-level strategy) ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลัก (Grand strategy) ที่ผู้บริหารระดับสูงจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรนากลยุทธ์ใดไปดาเนินการ โดยมีบรรทัดฐานในการตัดสินใจเลือกกลยุทธ์ ดังนี้คือ<br />
1) กลยุทธ์ต้องตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก<br />
2) กลยุทธ์ที่ดีต้องคานึงถึงการรักษาสถานภาพ และความได้เปรียบในการแข่งขัน<br />
3) กลยุทธ์แต่ละด้านต้องมีความสอดคล้องกัน<br />
4) กลยุทธ์ที่ดีต้องคานึงถึงความยืดหยุ่น<br />
5) กลยุทธ์ต้องสอดคล้องกับพันธกิจและเป้าประสงค์<br />
6) กลยุทธ์ที่ดีต้องมีความเป็นไปได้ในการดาเนินงานmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-6614538492921326752018-02-18T20:34:00.003-08:002018-02-18T20:34:39.033-08:00หลักการประเมินผลการปฏิบัติงานหลักการสำคัญ ๆ ที่ใช้เป็นแนวทางการประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อให้การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างถูกต้องและบรรลุตามวัตถุประสงค์<br />
1.<span style="white-space: pre;"> </span>การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นกระบวนการประเมินค่าผลการปฏิบัติงาน มิใช่ประเมินบุคคล (Weigh the Work – Not the Worker)<br />
2.<span style="white-space: pre;"> </span>การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาทุกคน<br />
3.<span style="white-space: pre;"> </span>การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีความแม่นยำในการประเมิน<br />
4.<span style="white-space: pre;"> </span>การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีเครื่องมือหลักช่วยในการประเมิน<br />
5.<span style="white-space: pre;"> </span>การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีการแจ้งผลการประเมินและหารือผลการประเมินผลการปฏิบัติงาน ภายหลังจากเสร็จสิ้นการประเมินแล้ว<br />
6. การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีการดำเนินการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง<br />
<div>
<br /></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-43863307915444522802017-01-31T07:05:00.002-08:002017-01-31T07:05:53.268-08:00วิธีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม<div class="MsoNormal" style="line-height: 18.0pt; margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 6.0pt; mso-list: l0 level1 lfo2; tab-stops: 35.45pt 54.0pt; text-align: justify; text-indent: 30.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<b><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;"><span style="font-family: "Times New Roman"; font-stretch: normal; font-variant-numeric: normal; font-weight: normal; line-height: normal;"> </span></span></b><!--[endif]--><b><span lang="TH" style="color: #333333; font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; text-transform: uppercase;">วิธีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม</span></b><span lang="TH" style="color: #333333; font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; text-transform: uppercase;"> โดย</span><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">เริ่มจากการสร้างพันธกิจสมมุติขึ้นมาเพื่อ</span><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">นำไปจัดทำกรอบวิเคราะห์จุดอ่อน
จุดแข็ง โอกาส และข้อจำกัดที่มีผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลว ประกอบด้วย </span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 5.05pt; margin-top: 6.0pt; mso-list: l1 level2 lfo1; text-align: justify; text-indent: 54.0pt; text-justify: inter-cluster;">
<!--[if !supportLists]--><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">1)<span style="font-family: "Times New Roman"; font-stretch: normal; font-variant-numeric: normal; line-height: normal;">
</span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">ภารกิจหลักตามกฎหมาย เป็นภารกิจที่องค์กรต้องทำตามนัยกฎหมายและหลักการที่ถูกต้อง</span><b><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;"><o:p></o:p></span></b></div>
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 5.1pt; margin-top: 0cm; mso-list: l1 level2 lfo1; text-align: justify; text-indent: 53.85pt; text-justify: inter-cluster;">
<!--[if !supportLists]--><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">2)<span style="font-family: "Times New Roman"; font-stretch: normal; font-variant-numeric: normal; line-height: normal;">
</span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif; letter-spacing: -0.3pt;">ภารกิจกิจหลักที่ได้รับมอบหมาย<b>
</b>เป็นภารกิจที่ได้องค์กรรับมอบหมายจากผู้มีอำนาจมอบหมายให้ดำเนินการ
หรือเป็นภารกิจตามวัตถุประสงค์ขององค์กร </span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;"><o:p></o:p></span></div>
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin-bottom: .0001pt; margin-bottom: 0cm; margin-left: 0cm; margin-right: 5.1pt; margin-top: 0cm; mso-list: l1 level2 lfo1; text-align: justify; text-indent: 53.85pt; text-justify: inter-cluster;">
<!--[if !supportLists]--><span style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">3)<span style="font-family: "Times New Roman"; font-stretch: normal; font-variant-numeric: normal; line-height: normal;">
</span></span><!--[endif]--><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunIT๙", sans-serif;">ภารกิจหลักที่สาธารณะคาดหวัง<b> </b>เป็นภารกิจที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
หรือสาธารณะชนมีความคาดหมายให้องค์กรมีการพัฒนาและแก้ไขปัญหา </span><span style="font-family: "TH SarabunIT๙","sans-serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-39203112966624939822016-12-31T07:26:00.005-08:002016-12-31T07:26:53.387-08:00ตลาดทุน<br />
<span style="background-color: white; color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif;">แหล่งงระดมเงินออมระยะยาวและให้สินเชื่อระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ได้แก่ เงินฝากประจำ หุ้นกู้ หุ้นสามัญและพันธบัตรทั้งของรัฐบาลและเอกชน แบ่งเป็นตลาดสินเชื่อทั่วไปและตลาดหลักทรัพย์ ตลาดสินเชื่อทั่วไปประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน ส่วนตลาดหลักทรัพย์แบ่งเป็นตลาดแรกและตลาดรอง ตลาดแรกคือตลาดที่ซื้อขายหลักทรัพย์ออกใหม่ เป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ได้รับเงินทุนจากผู้ซื้อหลักทรัพย์ใหม่ ในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดแรกเป็นการลงทุนที่แท้จริง ส่วนตลาดรองคือตลาดที่ซื้อขายหลักทรัพย์เก่า การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดรองมิใช่การลงทุนแท้จริง เพราะบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ไม่ได้รับเงินทุนจากการวื้อขายหลักทรัพย์นั้น การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดรองเป็นเพียงการเปลี่ยนมือระหว่างผู้ถือหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ตลาดรองก็มีบทบาทเกื้อกูลต่อตลาดแรก เพราะจะทำให้ผู้ซื้อหลักทรัพย์ในตลาดแรกมีความมั่นใจว่าจะสามารถแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์เป็นเงินสดได้เมื่อต้องการ สถาบันในตลาดทุน</span><span style="background-color: white; color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif;"> </span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-34294724983903457632016-12-31T07:25:00.004-08:002016-12-31T07:25:37.130-08:00มูลค่าตามบัญชี<span style="background-color: white; color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif;">Book Value</span><br />
<span style="background-color: white; color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif;">มูลค่าของหุ้นสามัญหรือมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของบริษัท (Net Asset Value) ตามงบดุลล่าสุดของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ ที่คำนวณได้จากการนำสินทรัพย์รวมหักด้วยหนี้สินรวม ซึ่งก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้นนั่นเอง ส่วนการหามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ต้องหารด้วยจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วของบริษัท มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น (Book Value per Share) มีความหมายว่า หากบริษัทมีการชำระบัญชีเพื่อเลิกกิจการ และสามารถจะนำสินทรัพย์ที่มีอยู่แปรเป็นเงินสดตามมูลค่าที่ระบุในงบดุลและชำระหนี้สินต่างๆ ให้เจ้าหนี้ตามยอดหนี้ที่ปรากฏ ณ วันที่ในงบดุลแล้ว ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินทุนต่อหุ้นคืนในจำนวนเท่ากับมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น </span><br style="color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif;" /><span style="background-color: white; color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif;"> มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น = สินทรัพย์รวม - หนี้สินรวม / จำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทออกและเรียกชำระค่าหุ้นแล้ว</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-58575845109556470622016-12-31T07:23:00.001-08:002016-12-31T07:23:46.630-08:00การทำกำไรจากผลต่างของราคาใน 2 ตลาด<span style="background-color: white; color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif; font-size: 12px;">การซื้อสินค้าในตลาดที่ราคาถูกและขณะเดียวกันก็สั่งขายสินค้านั้น (หรือสินค้าประเภทเดียวกันนั้น) ในจำนวนเดียวกันในอีกตลาดที่ราคาสูงกว่า เพื่อรับผลกำไรจากส่วนต่างของราคาใน 2 ตลาด ซึ่งการทำ Arbitrage จะทำได้เฉพาะกับสินค้าที่มีการซื้อขายมากกว่าหนึ่งตลาด เช่น ซื้อขายในตลาดปกติที่ส่งมอบทันทีซื้อขายในตลาดล่วงหน้า และซื้อขายในตลาด Options เป็นต้น สินค้าประเภทนี้ เช่น </span><br style="color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif; font-size: 12px;" /><span style="background-color: white; color: #484848; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, "Helvetica Neue", Helvetica, sans-serif; font-size: 12px;">ข้าวโพด ทองคำ เงินตราต่างประเทศ หุ้น ดัชนีราคาหุ้น พันธบัตรรัฐบาล อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น เมื่อมีการทำ Arbitrage จะผลักดันให้ราคาที่แตกต่างกันอย่างผิดปกติใน 2 ตลาดนั้นกลับคืนสู่ภาวะสมดุลตามปัจจัยพื้นฐานได้เร็วขึ้น ตลาดที่ราคาแพง ราคาก็จะกลับต่ำลงเพราะ มีแรงขายเพิ่มขึ้น และตลาดที่ราคาถูก ราคาจะสูงขึ้นเพราะมีแรงซื้อเพิ่มขึ้น โดยผู้ที่ทำ Arbitrage เรียกว่า Arbitrageur</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-51492991758215819722016-10-31T07:36:00.000-07:002016-10-31T07:36:41.651-07:00วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
ผลิตภัณฑ์ทุกตัวจะมีช่วงเวลาในการเข้าสู่ตลาดธุรกิจแตกต่างกันไป ซึ่งย่อมมีผลให้กลยุทธ์ในแต่ละช่วงของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์แตกต่างกัน การบริหาร<br />การผลิตมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ ทั้งด้านคุณภาพ ต้นทุน เวลา และความยืดหยุ่น แต่ละช่วงของวงจรชีวิตจะเน้นวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้<br /><img border="0" height="153" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMimOZHgizbwQ_yAWEqIg3wBhawrXIv4QhH9u5uiiJt3gXe1-YIa-cktr8J5IH2gnb_byuv99lu4ZXmSTYkCB2_eZwIKmH2JVj_w4QUllgyN4vRZQAznouqf7JkWn9uj6PjZlBCxYnqB9_/s320/15+Product+Life+Cycle+1.jpg" width="320" /><br /> <strong> 1 ช่วงแนะนำ (Introduction Stage)</strong> ช่วงนี้ยอดขายของผลิตภัณฑ์ยังค่อนข้าต่ำ เพราะลูกค้ายังไม่รู้จักคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์อย่างชัดแจ้ง แต่ช่วงนี้จะไม่มีคู่แข่งใน<br />ท้องตลาดเลย กลยุทธ์ขององค์การ : ช่วงแนะนำนี้เป็นช่วงจังหวะเวลาที่ดีที่สุดสำหรับ<br />การเพิ่มส่วนแบ่งรวดเร็วทำชื่อเสียงให้แก่องค์การ ดังนั้นฝ่ายวิจัยและพัฒนาและฝ่ายวิศวกรรมออกแบบจึงสำคัญมากและมีบทบาทอย่างยิ่ง<br />ในการเน้นคุณภาพให้เป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์<br />กลยุทธ์การบริหารการผลิต : ฝ่ายการผลิตควรดำเนินการดังต่อไปนี้<br /> - ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โดยสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าในระดับสูง<br /> - ปรับการออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการทีละเล็กทีละน้อยจนได้วิธีที่เหมาะสมที่สุด<br /> - ควรผลิตในช่วงสั้นเพื่อทดลองตลาดแล้วปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีผลให้มีกำลังการผลิตเกิน และต้นทุนต่อหน่วยสูงที่ต้องทำการแก้ไขในช่วงเวลาถัดไป<br /> - เน้นการอบรมด้านเทคนิคเพราะแรงงานที่มีอยู่ต้องมีความชำนาญสูง<br /> - จำกัดจำนวนรูปแบบของผลิตภัณฑ์ใหม่ ในช่วงนี้รูปแบบยังไม่จำเป็นต้องหลากหลาย เพื่อลดภาระในการเปลี่ยนแบบเมื่อผลิต<br /> - สนใจเน้นหนักด้านคุณภาพเพื่อใช้เป็นจุดหมาย<br /> - กำจัดข้อบกพร่องที่บังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ลูกค้าจะบอกกันปากต่อปาก<br /><br /> <strong> 2 ช่วงเจริญเติบโต (Growth Stage) </strong>ยอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะผลิตภัณฑ์ติดตลาดแล้ว ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดและกำไรเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีคู่แข่งเริ่มมาเข้าตลาดบ้าง<br />กลยุทธ์ขององค์การ : ช่วงเจริญเติบโตนี้กิจกรรมการตลาดจะมีบทบาทอย่างมาก ราคาจะลดลง และมีผลถึงภาพพจน์ของผลิตภัณฑ์ด้วย และอุปสงค์ของลูกค้าก็จะเพิ่มขึ้นในภาพรวมของทั้งตลาด จึงต้องผลิตในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของลูกค้า มิฉะนั้นจะเสียส่วนแบ่งตลาดไป<br />กลยุทธ์การบริหารการผลิต : ฝ่ายการผลิตควรดำเนินการดังต่อไปนี้<br /> - ควรพยากรณ์การผลิตอย่างแม่นยำ เชื่อถือได้ เพื่อดูแนวโน้มของผลิตภัณฑ์<br /> - ผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตต้องเที่ยงตรงเชื่อถือได้<br /> - สำหรับบางผลิตภัณฑ์ที่เริ่มมีคู่แข่ง ต้องมีการปรับปรุงไม่ให้ด้อยกว่าของคู่แข่งขัน เช่น มีสีสัน รูปทรง ขนาดให้ลูกค้าเลือกได้มากกว่า<br /> - เพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอกับปริมาณผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการ<br /> - กระจายการผลิตให้ทั่วถึง และเจ้าถึงลูกค้าเป้าหมายให้กว้างที่สุด<br /><br /> <strong> 3 ช่วงอิ่มตัว (Maturity Stage) </strong>เป็นช่วงที่ยอดขายในระดับสูงสุด แต่อัตราการเพิ่มของยอดขยายจะต่ำมากหรือคงที่ คู่แข่งขันมีมากมายในท้องตลาด<br />กลยุทธ์ขององค์การ : ควรคงสภาพการลงทุน ระดับคุณภาพ และระดับราคาไว้ หากถ้าสามารถลดราคาได้ก็จะเป็นผลดีต่อการแข่งขันเป็นอย่างมาก และพยายามปกป้องตำแหน่งทางการตลาดพร้อมกับการส่งเสริมการขายและกระจาย<br />สินค้าด้วยวิธีใหม่ กลยุทธ์การบริหารการผลิต : ฝ่ายผลิตควรดำเนินการดังต่อไปนี้<br /> - ใช้การออกแบบให้เป็นมาตรฐาน ช่วยลดตนทุนการผลิต<br /> - ลดการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ให้ช้าลง ใช้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแทน เพื่อที่จะไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติมมาก<br /> - ใช้กำลังการผลิตแบบมุ่งผลรวมที่ดีที่สุด (Optimum Capacity)<br /> - ไม่ควรเปลี่ยนกระบวนการผลิตบ่อยครั้ง ควรผลิตครั้งละมาก ๆ และเป็นเวลานาน (ผลิตในช่วงยาว)<br /> - ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานที่มีฝีมือ เพราะคนงานทำงานเฉพาะสายผลิตภัณฑ์<br /> - ปรับปรุงผลิตภัณฑ์และตัดต้นทุนที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง<br /><br /> <strong> 4 ช่วงลดลง (Decline Stage)</strong> เป็นช่วงที่ยอดขายอยู่ในสภาพที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง บางผลิตภัณฑ์เริ่มมีผลิตภัณฑ์ที่ทดแทนกันได้มาแทนที่ บางธุรกิจเลิกและออกจากตลาดไปเพราะขาดทุน<br />กลยุทธ์ขององค์การ : เน้นการควบคุมต้นทุน เพราะการแข่งขั้นด้านราคาจะมากในขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จึงน้องพยายามรักษา<br />ระดับกำไรให้ดี กลยุทธ์การบริหารการผลิต : ฝ่ายผลิตควรดำเนินการดังต่อไปนี้<br /> - ปรับผลิตภัณฑ์ให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อย หลีกเลี่ยงการลงทุนจำนวนมาก<br /> - พยายามลดต้นทุนการผลิตลงให้ต่ำที่สุดเพราะการแข่งขั้นด้านราคาจะสูงมาก<br />อันเป็น ผลมาจากกำลัง การผลิตรวมของอุตสาหกรรมมีมากเกินไป<br /> - กำจัดผลิตภัณฑ์บางตัวที่ไม่ทำกำไร<br /> - เปลี่ยนกำลังการผลิตไปใช้ผลิตผลิตภัณฑ์อื่นที่ยังไม่เข้าช่วงลดลง หรือใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-7107393586891040332015-05-09T01:29:00.000-07:002015-05-09T01:29:00.291-07:00องค์ประกอบของแนวความคิดหลักทางการตลาดความจาเป็น ความต้องการ และความต้องการซื้อ<br />
1.1 ความจำเป็น (Needs) เป็นอานาจพื้นฐานที่กระตุ๎นให๎บุคคลเกิดความต๎องการในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อมาตอบสนองในสิ่งที่ขาดหายไป แบํงเป็น 3 ประเภท<br />
1.1.1 ความต๎องการทางรำงกาย (Physical needs) เชํน ปัจจัย 4 ได๎แกํ อาหาร ที่อยูํอาศัย เสื้อผ๎า ยารักษาโรค รวมทั้งความอบอุํน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน<br />
1.1.2 ความต๎องการทางสังคม (Social needs) เชํน การยอมรับ ความรักจากคนรอบข๎าง<br />
1.1.3 ความต๎องการสํวนบุคคล (Individual needs) ซึ่งแตกตำงกัน เชํน ความต๎องการศึกษาหาความรู๎ การแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง<br />
1.2 ความต้องการ (Wants) เป็นสิ่งที่สามารถตอบสนองความจาเป็นได๎ ซึ่งความต๎องการของคนแตํละคนจะแตกตำงกันออกไปขึ้นอยูํกับวัฒนธรรม สังคม และบุคลิกภาพสํวนบุคคล<br />
1.3 ความต้องการซื้อ (Demands) เป็นความต๎องการในรูปของอานาจในการซื้อ เนื่องจากมนุษย์มีความต๎องการไมํจากัด แตํมีเงินจากัด เพราะฉะนั้นจึงต๎องเลือกซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีคุณคำ และสามารถตอบสนอง<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhkZkamk2x3Q3ZuD2czQZDwzNbj527X8VV0SbStS0pOabJVAT-V6VmzkSCUjRAp4Y1e-2NL4haNmmZ9T90nDvSK-DHhNdLtIKg3OA5cC6CCGNpWz3W_YcBjQ8WKSx3V9DLuBD2V0XepgN5H/s1600/CRM-Diagram.png" /></div>
<br />
2. ผลิตภัณฑ์ (Products) เป็นสิ่งที่ผู๎ผลิตหรือนักการตลาดนาเสนอแกํตลาดเพื่อให๎ผู๎บริโภคเกิดความสนใจ (attention) การซื้อ (acquisition) การใช๎ (use) หรือการบริโภค (consumption) โดยผลิตภัณฑ์นั้นต๎องสามารถตอบสนองความจาเป็นและความต๎องการของผู๎บริโภค แบํงเป็น 10 ประเภท ดังนี้<br />
2.1 สินค๎า (Goods) เชํน สินค๎าอุปโภคบริโภคตำงๆ สินค๎าที่ผลิตจากโรงงาน เป็นต๎น<br />
2.2 บริการ (Services) เชํน กิจกรรมเกี่ยวกับการเดินทาง ที่พัก สุขภาพ ร๎านค๎า ร๎านอาหาร หรือสิ่งบันเทิงที่อานวยความสะดวกในการใช๎ชีวิตประจาวัน<br />
2.3 ประสบการณ์ (Experiences) เชํน การดูละครหรือคอนเสิร์ตตำงๆ การทํองเที่ยว<br />
2.4 เหตุการณ์ (Events) เชํน การแขํงขันโอลิมปิค การจัดนิทรรศการ งานฉลองตำงๆ<br />
2.5 บุคคล (Persons) เชํน ดารา นักร๎อง นักกฎหมาย นักการเงิน นักดนตรี หรือที่ปรึกษาตำงๆ<br />
2.6 สถานที่ (Places) เชํน สถานที่ทํองเที่ยว สถานที่ตากอากาศ นิคมอุตสาหกรรม พิพิธภัณฑ์<br />
2.7 ทรัพย์สิน (Properties) เชํน หุ๎น หุ๎นกู๎ สิทธิบัตร<br />
2.8 องค์กร (Organizations) เชํน ภาพลักษณ์และชื่อเสียงขององค์กร หรือการเข๎ารํวมในชมรม/หนํวยงาน/องค์กรตำงๆ<br />
2.9 ข๎อมูลขำวสาร (Information) เชํน สารานุกรมทางการตลาด นิตยสารที่ให๎ข๎อมูลทางด๎านตำงๆ สถานีวิทยุที่ให๎ข๎อมูลทางด๎านการพยากรณ์อากาศหรือการจราจร องค์กรวิจัย หรือ ที่ปรึกษาที่ให๎บริการทางด๎านการขำวสารตำงๆ<br />
2.10 แนวความคิด (Ideas) ข๎อเสนอตำง ๆทางการตลาดจะต๎องมีการรวมเอาแนวความคิดเข๎าไปด๎วย เป็นความคิดmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-1371047441759432452015-05-09T01:26:00.001-07:002015-05-09T01:26:23.591-07:00แนวความคิดหลักทางการตลาด ((Core markettiing conceptts)การตลาดเป็นการตอบสนองความจาเป็นและความต๎องการ ตลอดจนความต๎องการซื้อของผู๎บริโภค เมื่อผู๎บริโภคได๎รับผลิตภัณฑ์แล๎ว สิ่งนั้นยํอมมีคุณคำและสร๎างความพึงพอใจให๎กับผู๎บริโภคเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยใช๎กระบวนการแลกเปลี่ยน ซื้อขายผลิตภัณฑ์นั้น โดยมีการสร๎างสัมพันธ์ทางการตลาดอยำงเป็นระบบ ซึ่งจะกํอให๎เกิดทรัพย์สินที่มีคำยิ่งแกํองค์กร และมีลักษณะเป็นวัฏจักรหมุนวนไปเรื่อยๆไมํมีที่สิ้นสุด ซึ่งนักการตลาดต๎องมีความชานาญในการศึกษาวิเคราะห์ เพื่อหาสิ่งที่มีคุณคำมาสนองความต๎องการของผู๎บริโภค จึงเกิดกระบวนการของแนวความคิดหลักทางการตลาดขึ้น<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="318" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpb8lIwlYwiuFB_-13qSzV6aiuQmzDXCXjtkrY2eQIkctCNMe70-qO5hdGQSjuClQRpT97BPT81uO6-kzGlJOpuH3hZi-cED2JDxSz3aMA0uMius4dzUg16UWSFVTj6_DRNsz1v9lysQT_/s320/1.png" width="320" /></div>
<br />
คุณค่าในสายตาของลูกค้า ความพึงพอใจของลูกค้า และคุณภาพ<br />
1 คุณค่าในสายตาของลูกค้า (Customer value) ผลิตภัณฑ์ที่นักการตลาดเสนอขายจะต๎องมีคุณคำในสายตาของลูกค๎า (Customer value) ซึ่งหมายถึงความแตกตำงระหวำงคุณคำที่ลูกค๎า<br />
ได๎รับจากการเป็นเจ๎าของหรือใช๎ผลิตภัณฑ์ เปรียบเทียบกับต๎นทุนในการได๎มาซึ่งผลิตภัณฑ์นั้นๆ<br />
2 ความพึงพอใจของลูกค้า (Customer satisfaction) ผลิตภัณฑ์ที่นักการตลาดเสนอขาย นอกจากจะต๎องมีคุณคำในสายตาของลูกค๎าแล๎ว ยังจะต๎องทาให๎ลูกค๎าเกิดความพึงพอใจ (Customer satisfaction) ซึ่งเกิดจากคุณคำที่ลูกค๎าได๎รับนั้นตรงหรือสูงกวำคุณคำที่ได๎คาดหวังไว๎<br />
3 คุณภาพ (Quality) การที่ลูกค๎าจะประเมินวำผลิตภัณฑ์มีคุณภาพหรือไมํนั้น จะประเมินจากการที่ผลิตภัณฑ์สามารถสร๎างความพึงพอใจแกํลูกค๎าได๎เพียงใด<br />
<br />
การสร้างความสัมพันธ์ทางการตลาด (Relationships marketing) การทาการตลาดในปัจจุบันจะต๎องมุํงเน๎นไปที่การสร๎างสัมพันธภาพทางการตลาด ซึ่งหมายถึงกระบวนการสร๎าง รักษา และการเพิ่มสัมพันธภาพกับลูกค๎า และผู๎มีสํวนได๎สํวนเสีย เชํน พนักงานผู๎ป้อนปัจจัยการผลิต ผู๎กระจายสินค๎า ผู๎ค๎าปลีก ธนาคาร รัฐบาล ชุมชน เป็นต๎นmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-37360740439249419592014-11-18T22:45:00.002-08:002014-11-18T22:45:14.541-08:00วงจรผลิตผล (Productivity Cycle)<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> การเพิ่มผลผลิตจะเกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง มีลักษณะเป็นวงจร
(Cycle) ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการของวงจรผลิตภาพหรือวงจรการเพิ่มผลผลิต
เป็นขั้นตอนดังนี้<br />
<br />
1. การวัดผลงาน (Measurement)<br />
2. การประเมินผลงาน (Evaluation)<br />
3. การวางแผน (Planning)<br />
4. การปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต (Productivity Improvement)<br />
<br />
<strong> ต้นทุนและความสูญเสีย</strong><br />
องค์การที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินงานผู้บริหารมักคำนึงถึงกำไร
(Profits)
เป็นเป้าหมายสูงสุดซึ้งการจะได้กำไรมากน้อยขึ้นอยู่กับราคาขายหรือมูลค่า
สินค้าต้องสูงกว่าต้นทุนการผลิต จากสมการ<br />
กำไร = ราคาขาย - ต้นทุน<br />
<br />
<strong>1 ต้นทุน (Cost) </strong>หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปสำหรับทรัพยากรทางการผลิตเพื่อให้เกิดผลิตผล<br />
<br />
ต้นทุนการผลิตที่เป็นค่าใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ<br />
1. ค่าวัสดุ (Material Cost)<br />
2. ค่าแรงงาน (Labor Cost)<br />
3. ค่าโสหุ้ย (Overhead Cost)<br />
<br />
<strong>ค่าโสหุ้ย จะประกอบด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆ</strong><br />
- ค่าวัสดุทางอ้อม เช่น ค่าวัสดุเครื่องใช้สำนักงาน ค่าทำความสะอาด ค่าบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น<br />
- ค่าแรงงานทางอ้อม เช่น ค่ายามรักษาความปลอดภัย ค่าพนักงานทำความสะอาด พนักงานรับโทรศัพท์ เป็นต้น<br />
- ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ<br />
- ค่าใช้สอยอื่นๆ<br />
- ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรและทรัพย์สินอื่น ๆ<br />
- ค่าใช้จ่ายสวัสดิการ เช่น โบนัส ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ<br />
- ค่าขนส่ง เป็นต้น<br />
<br />
<strong>2 ความสูญเสีย (Lost)</strong> หมายถึง
ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปแล้วไม่เกิดผลผลิต บางองค์การอาจใช้คำว่า ความสูญเปล่า
(Waste)ในความเป็นจริง
ความสูญเสียหรือความสูญเปล่าก็คือต้นทุนแต่เป็นต้นทุนที่ไม่ก่อผลประโยชน์<br />
<br />
ปัญหาของการเพิ่มผลผลิต ซึ้งทำให้ผลผลิตตกต่ำลงและอาจมีสาเหตุหลายประการซึ้งทำให้เกิดความสูญเสีย ได้แก่<br />
<br />
2.1. ความสูญเสียในส่วนวัสดุ เช่น<br />
- มากเกินไป สั่งซื้อมามาก ทำให้หมดเงินลงทุน และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ<br />
- สูญหาย การวางผิดที่ หยิบใช้โดยไม่ต้องบอก ฯลฯ<br />
- ไว้ผิดประเภท จัดซื้อไม่ถูกขนาดหรือ Spec เสียค่าใช้จ่ายมาก ฯลฯ<br />
<br />
2.2. ความสูญเสียในส่วนเครื่องจักร<br />
- เก่าชำรุด<br />
- สกปรก ขาดการดูแลรักษา<br />
- ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ฯลฯ<br />
<br />
2.3. ความสูญเสียในส่วนแรงงาน<br />
- ขาดระเบียบวินัย<br />
- ขาดการฝึกอบรม<br />
- มีทัศนคติที่ไม่ดีในการทำงาน ฯลฯ<br />
<br />
2.4. ความสูญเสียในส่วนกระบวนการผลิตหรือวิชาการทำงาน<br />
- ขาดเทคโนโลยี<br />
- ไม่มีการพัฒนาควบคุมคุณภาพ ฯลฯ</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-20839754262520929542014-11-18T22:41:00.002-08:002014-11-18T22:41:41.254-08:00ดุลการชำระเงิน (Balance of Payment)<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ดุลการชำระเงินอาจจะเกินดุล (Surplus) สมดุล (Balance) หรือขาดดุล
(Deficit) ก็ได้
ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบแต่ละประเภทที่เกี่ยวข้องในบัญชี
ดุลการชำระเงิน โดย</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">- <strong> เกินดุล</strong> เมื่อมีการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศ<span style="text-decoration: underline;">มากกว่า</span>การไหลออกของเงินตรา ต่างประเทศ<br />
- <strong>สมดุล </strong>เมื่อมีการไหลเข้าของเงินตรา ต่างประเทศ<span style="text-decoration: underline;">เท่ากับ</span>การไหลออกของเงินตราต่างประเทศ<br />
- <strong> ขาดดุล</strong> เมื่อมีการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศ<span style="text-decoration: underline;">น้อยกว่า</span>การไหล ออกของเงินตราต่างประเทศ<strong>ดุลการชำระเงิน (Balance of Payment) = ดุลบัญชีเดินสะพัด
(Current Account) + ดุลบัญชีการเคลื่อนย้ายของทุน ( Capital &
Financial</strong><strong> Account</strong><strong> )</strong></span><br />
<strong><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ดุลบัญชีเดินสะพัด = ดุลการค้า + ดุลบริการ + ดุลรายได้และเงินโอน</span></strong><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong>ดุลการค้า </strong>= นำเข้า ส่งออก สินค้า</span><br />
<ul>
<li><ul>
<li><ul>
<li><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong>ดุลบริการ</strong> นำเข้า ส่งออก บริการ (เช่นเรื่องของการท่องเที่ยว และค่าขนส่ง)</span></li>
<li><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong>ดุลรายได้ และเงินโอน</strong> ให้นึกถึงการส่งกลับรายได้จากการไปทำงานในต่างแดน และการโอนเงินบริจาค</span></li>
<li><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong>ดุลบัญชีการเคลื่อนย้ายของทุน</strong> เรื่องที่เกี่ยวกับการเดินทางของเงินทุน เช่น ลงทุนในตลาดหุ้น การเอาเงินมาลงทุนเปิดกิจการโรงงาน เป็นต้น</span></li>
</ul>
</li>
</ul>
</li>
<li><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong>ดุลการชำระเงิน </strong><strong> = มีมูลค่าเท่ากับ<span style="text-decoration: underline;">การเปลี่ยนแปลง</span>ของ</strong><strong>สินทรัพย์เงินสำรองระหว่างประเทศ</strong><strong> (ถ้าไม่เท่าจะต้องปรับด้วย </strong><strong>ค่าความผิดพลาดคลาดเคลื่อนทางสถิติ</strong><strong>)<br />
นั่นคือ ถ้าดุลการชำระเงินเป็นบวก
เงินสำรองระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้นด้วยในจำนวนเท่ากัน (แต่ใส่เครื่องหมายลบ
เพราะเงินออกจากบัญชีนี้ไปสู่เงินสำรองระหว่างประเทศ)</strong></span></li>
</ul>
<div>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><strong>อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ</strong><br />
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หมายถึง ราคาของเงินตราประเทศ 1 หน่วย
คิดเทียบกับเงินตราอีกสกุลหนึ่ง เช่น เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
มีค่าเทียบกับเงินบาทเท่ากับ 39 บาท เป็นต้น<br /> อัตราแลกเปลี่ยน อาจมีได้หลายอัตรา เช่น<br />
1. อัตราทางการ ( Official Rate ) คือ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่กำหนดโดยเจ้าหน้าที่ทางการเงินของ
ประเทศ เช่น ประเทศไทยเคยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนทางการเอาไว้ในอัตราดอลลาร์ละ
20 บาท เป็นต้น<br /> 2. อัตราตลาด ( Market
Rate ) คือ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่กำหนดขึ้นจากอุปสงค์และอุปทานของเงิน
ตราต่างประเทศที่อยู่ในภาวะดุลยภาพ<br /> 3.
อัตราตลาดมืด ( Black Market Rate ) คือ
อัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดจากการกำหนดทางการไว้สูงกว่าอัตราตลาด<br />
**ในกรณีที่เราสามารถแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกันได้อย่างเสรี
อัตราแลกเปลี่ยนจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของเงินตราต่างประเทศ
ซึ่งสามารถอธิบายได้เป็น 2 กรณี คือ<br /> 1.
ถ้าความต้องการใช้ดอลลาร์มีมากขึ้น แต่จำนวนดอลลาร์มีน้อย
ค่าของเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินบาทจะสูงขึ้น ส่วนค่าของเงินบาทจะลดลง<br />
2. ถ้าความต้องการใช้ดอลลาร์มีน้อยลง
แต่จำนวนดอลลาร์มีมาก ค่าของเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินบาทจะต่ำลง
ส่วนค่าของเงินบาทจะสูงขึ้น<br /> <br /> <br /><strong>อุปสงค์ของเงินตราต่างประเทศ</strong>
คือ
ความต้องการการเงินตราต่างประเทศเพื่อใช้ชำระค่าสินค้าที่เราสั่งเข้ามาก
ซึ่งการที่อุปสงคาของเงินตราต่างประเทศจะมีมากหรือน้อยเพียงใด
ย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการใช้จ่ายเงินในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้<br />1. เพื่อนำไปชำระค่าสินค้าและบริการที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ<br />2. เพื่อนำไปให้ต่างประเทศกู้ยืมหรือซื้อหลักทรัพย์จากต่างประเทศ<br />3. เพื่อนำมากักตุนเก็งกำไร<br />4. เพื่อส่งออกไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย</span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-46114587793747150932014-11-18T22:38:00.000-08:002014-11-18T22:38:19.971-08:00สาเหตุของเงินเฟ้อ (The Causes of Inflation)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-iZ-QpFyZh3bPcDEwRKjRKU1h3kEVtgWKhJVfzvlyTaPGCg721OOFhGHVbrwsJrUWFZWPeqmq9ELF3-TXQm8v-capEKWNe4af4c_gu4i_zPvArqaOUd2LjynatYrMFkVusRqX4MyQ75lR/s1600/557000001093301.JPEG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-iZ-QpFyZh3bPcDEwRKjRKU1h3kEVtgWKhJVfzvlyTaPGCg721OOFhGHVbrwsJrUWFZWPeqmq9ELF3-TXQm8v-capEKWNe4af4c_gu4i_zPvArqaOUd2LjynatYrMFkVusRqX4MyQ75lR/s1600/557000001093301.JPEG" height="240" width="320" /></a></div>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">1.) ดีมานด์เกิน <strong>(Demand Pull Inflation)</strong> เป็นปัญหาด้านดีมานด์ของสินค้า <br />
2.) ต้นทุนเพิ่ม <strong>(Cost - Push Inflation) </strong>เป็นปัญหาด้านซัพพลายของสินค้า <br />
3.) สาเหตุอื่นๆ <br />
<strong>1.) ดีมานด์เกิน (Demand Pull Inflation)</strong>
เงินเฟ้อเพราะดีมานด์เกิน
ทฤษฎีเงินเฟ้อดั้งเดิมอธิบายสาเหตุของเงินเฟ้อว่า
เกิดจากการที่ดีมานด์มวลรวมมีมากกว่าซัพพลายมวลรวม ณ
ระดับราคาสินค้าที่เป็นอยู่ขณะนั้น ผลทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น
ถ้าเราเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น แต่ไม่ให้ระดับการจ้างงานเพิ่มขึ้นตาม
นั่นคือ ผลผลิตจะสามารถเพิ่มขึ้นโดยต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยยังคงเดิม ดังนั้น
การที่ดีมานด์มวลรวมเพิ่มขึ้นในขณะที่การผลิตขณะนั้นอยู่ไกลการมีงานทำเต็ม
ที่ เงินเฟ้อจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าดีมานด์มวลรวมเพิ่มในขณะที่การผลิตอยู่ ณ
ระดับการมีงานทำเต็มที่ ทำให้ราคาเพิ่มโดยที่ผลผลิตไม่เพิ่มตาม
เคนส์เรียกเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่แล้วว่า
"เงินเฟ้อแท้จริง" (True Inflation) <br />
<strong>2.) ต้นทุนเพิ่ม (Cost - Push Inflation)</strong>
มีสาเหตุมาจากด้านซัพพลาย เมื่อต้นทุนเพิ่ม จะทำให้ซัพพลายลดลง
ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ถ้าดีมานด์มีค่าคงที่ ผลผลิตจะลดลง
แบ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ <br />
- <u>เงินเฟ้อเพราะค่าจ้างเพิ่ม</u> <strong>(Wage - Pash Inflation)</strong>
เกิดจากการขึ้นสูงของค่าจ้าง
โดยดีมานด์ของแรงงานมิได้มีมากกว่าซัพพลายของแรงงานขณะนั้น ซึ่งเป็นไปได้
แต่ในทางเศรษฐกิจที่ทั้งตลาดแรงงานและตลาดผลผลิตมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์เท่า
นั้น เพราะโดยปกติแล้วตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์
การขึ้นค่าจ้างและราคาสินค้าจะเป็นไปโดยกลไกของตลาดอย่างเดียวเท่านั้น
การแก้ปัญหาเงินเฟ้อในลักษณะนี้ค่อนข้างยาก มาตรการที่ได้ผล
ควรจะเป็นมาตรการเกี่ยวกับการควบคุมค่าจ้างโดยตรง
ในยามที่เกิดภาวะการณ์เช่นนี้รัฐบาลจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกเอาระหว่างการ
ที่จะให้ระดับราคาสินค้ามีเสถียรภาพ แต่ทำให้มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
หรือการว่างงานน้อยลงแต่ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น <br />
- <u>เงินเฟ้อเพราะกำไรเพิ่ม</u> <strong>(Prafit - Push Inflation)</strong> เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทางด้านซัพพลายหรือต้นทุนการผลิต เนื่องจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าตลาดที่มีการแข่งขันที่สมบูรณ์ <strong>(Perfect Market)</strong>
การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาสินค้าหรือค่าจ้างจะเป็นไปโดยกลไกตลาด
เพราะฉะนั้นปัญหาภาวะการณ์เช่นนี้เกิดเฉพาะตลาดที่มีการแข่งขันไม่สมบูรณ์
เท่านั้น คือ ผู้ผลิตมีอำนาจที่จะกำหนดราคาสินค้าได้เอง <br />
<strong>3.) เงินเฟ้อเพราะสาเหตุอื่น ๆ</strong> <br />
- โครงสร้างดีมานด์เปลี่ยนแปลง <strong>(ฺBottleneck or Structural Inflation)</strong>
เมื่อระบบเศรษฐกิจมีการพัฒนาขึ้น
การบริโภคและโครงสร้างจะมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว
แต่โครงสร้างการผลิตยังไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จึงทำให้เกิดดีมานด์ส่วนเกิน
<strong>(ฺExcess Demand)</strong> ราคาสินค้าสูงขึ้น
และทำให้สินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้นด้วย
แต่เงินเฟ้อประเภทนี้ไม่สามารถใช้การแก้ไขได้แบบเดียวกับ Demand Pull
Inflation
เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อลดลงแล้วจะยังคงก่อให้เกิดปัญหาการว่าง
งานด้วย <br />
- เงินเฟ้อที่เกิดจากการติดต่อระหว่างประเทศ<strong> (ฺInternational Transmission of Inflation)</strong> <br />
<strong>1) ผ่านทางสินค้าออก</strong> คือ
เมื่อตลาดต่างประเทศมีความต้องการที่จะซื้อผลิตภัณฑ์สินค้าจากประเทศไทย
เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าที่จะส่งออกของไทยจึงสูงขึ้น
ทำให้ความต้องการที่จะขายสินค้าภายในประเทศลดต่ำลง นั่นคือ
ดีมานด์ที่ต้องการส่งออกมีมากทำให้ซัพพลายที่เหลืออยู่ในประเทศลดลง เช่น
ราคาน้ำตาลทราย <br />
<strong>2) ผ่านทางสินค้าเข้า</strong> เช่น
ไทยสั่งซื้อเป็นสินค้านำเข้า เมื่อน้ำมันของตลาดโลกสูงขึ้น
ราคาผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการต่าง ๆ
ที่ใช้น้ำมันเหล่านี้เป็นส่วนประกอบก็จะพลอยสูงขึ้นตาม</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-48834778486263386252014-05-25T08:42:00.001-07:002014-05-25T08:42:40.069-07:00กลยุทธ์การใช้พนักงานขาย (Personal Strategy)<span style="background-color: white;"><span style="font-family: Verdana;">การขายโดยใช้พนักงานขายจัดเป็นรูปแบบการปฏิบัติตัวต่อตัวระหว่างกิจการกับลูกค้า ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวังคำสั่งซื้อด้วยรูปแบบการขายที่แตกต่างกัน การขายโดยพนักงานขายนั้นเกี่ยวข้องกับการจ้างพนักงานขาย การจัดการทั่วๆ ไปเกี่ยวกับพนักงานขาย ตลอดจนการบริหารสินค้าคงคลัง การเตรียมการเสนอขายและการบริการหลังการขาย ในการพัฒนาแผนกการขายนั้น กิจการจะเริ่มตั้งแต่การตั้งวัตถุประสงค์และปฏิบัติการ ซึ่งต้องมีความชัดเจนและสอดคล้องกับประเภทของธุรกิจ โดยอาจเป็นธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจการบริการ หรือธุรกิจการผลิต จากนั้นจึงกำหนดกลยุทธ์การขายและการดำเนินงาน การขายโดยใช้พนักงานขายนั้นหวังผลลัพธ์เพื่อเพิ่มยอดขายและขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างสัมพันธ์ภาพระยะยาวกับลูกค้าอีกด้วย </span></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9WHNrVQ0ZYVebcDvn7t4kbEKbIA2aJWdHCfieD7_HtOcUGai1-kYyNokVCgIi6mF4dhUUDTEvft83aDoM81LX3XlmGe8OneCvX-hRXgUGLPCOabxDIspieViIlV1Jo7rBC2OosJPaYi6_/s1600/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%94+(1).jpg" /></span></div>
<br style="font-family: Verdana;" /><span style="font-family: Verdana;"> นอกจากนี้การขายโดยใช้ พนักงานขายนั้น ยังมีการใช้โบว์ชัวร์ เอกสาร ใบปลิว วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยในการนำเสนอขายของพนักงาน ตลอดจนเป็นหลักฐานอ้างอิงและสามารถมอบไว้ให้ลูกค้าเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม</span><br />
<span style="background-color: white;"><span style="font-family: Verdana;"><br /></span></span>
<span style="background-color: white;">การวางแผนการตลาดโดยใช้ 4P กลยุทธ์ทางการตลาดนั้นมีอยู่มากมาย แต่ที่เป็นที่รู้จัก และเป็นพื้นฐานที่สุดก็คือการ ใช้ 4P (Product Price Place Promotion) ซึ่งหลักการใช้คือการวางแผนในแต่ละส่วนให้เข้ากัน และเป็นที่ต้องการของกลุ่ม เป้าหมายที่เราเลือกเอาไว้ให้มากที่สุด ในบางธุรกิจอาจจะไม่สามารถปรับเปลี่ยน ทั้ง 4P ได้ทั้งหมดในระยะสั้นก็ไม่เป็นไรเพราะ เรา สามารถ ค่อยๆปรับกลยุทธ์จนได้ ส่วนผสมทางการตลาดได้เหมาะสมที่สุด ( 4P อาจจะเรียกว่า marketing mix) เราลองมา ดูกันทีละส่วน</span><br /><span style="background-color: white;">- Product</span><br /><span style="background-color: white;">ก็คือสินค้าหรือบริการที่เราจะเสนอให้กับลูกค้า แนวทางการกำหนดตัว product ให้เหมาะสมก็ต้องดูว่ากลุ่มเป้า หมายต้องการอะไร เช่นต้องการน้ำผลไม้ที่ สะอาด สด ในบรรจุภัณฑ์ถือสะดวก โดยไม่สนรสชาติ เราก็ต้องทำตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่ใช่ว่าเราชอบหวานก็จะพยายามใส่น้ำตาลเข้าไป แต่โดยทั่วไปแนวทางที่จะทำสินค้าให้ขายได้มีอยู่สองอย่างคือ</span><br /><br /><span style="background-color: white;">1.1 สินค้าที่มีความแตกต่าง โดยการสร้างความแตกต่างนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้จริงว่าต่างกันและ ลูกค้าตระหนักและชอบในแนวทางนี้ เช่นคุณสมบัติพิเศษ รูปลักษณ์ การใช้งาน ความปลอดภัย ความคงทนโดยกลุ่มลูก ค้าที่เราจะจับก็จะเป็นลูกค้าที่ไม่มีการแข่งขันมาก (niche market) </span><br /><br /><span style="background-color: white;">1.2 สินค้าที่มีราคาต่ำนั่นคือการยอมลดคุณภาพในบางด้านที่ไม่สำคัญลงไป เช่นสินค้าที่ผลิตจากจีน จะมีคุณภาพไม่ดี นักพอใช้งานได้ แต่ถูกมากๆหรือ สินค้าที่เลียนแบบแบรนด์ดังๆ ในซุปเปอร์สโตรต่างๆ จริงๆแล้วสำหรับนักธุรกิจมือ ใหม่ควรเลือกในแนวทาง สร้างความแตกต่างมากกว่า การเป็นสินค้าราคาถูกเพราะ หากเป็นด้านการผลิตแล้วรายใหญ่ จะมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่ารายย่อย แต่หากเป็นด้านบริการ เราอาจจะเริ่มต้นที่ราคาถูกก่อน แล้วค่อยๆ หาตลาดที่ราย ใหญ่ไม่สนใจ</span><br /><span style="background-color: white;">- Price</span><br /><span style="background-color: white;">ราคาเป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญในการตลาด แต่ไม่ใช่ว่า คิดอะไรไม่ออกก็ลดราคาอย่างเดียวเพราะการลดราคาสินค้า อาจจะไม่ได้ช่วยให้การขายดีขึ้นได้ หากปัญหาอื่นๆยังไม่ได้รับการแก้ไข การตั้งราคาในที่นี้จะเป็นการตั้งราคาให้เหมาะสมกับ ผลิตภัณฑ์ และกลุ่มเป้าหมายของเรา เช่นหากเราขายน้ำผลไม้ที่จตุจักร ราคาอาจจะต้องถูกหน่อย แต่หากขายที่สยาม หากตั้ง ราคาถูกไปเช่น 10 บาท กลุ่มที่เป็นเป้าหมายอยากให้ซื้ออาจจะไม่ซื้อ แต่คนที่ซื้ออาจจะเป็นคนอีกกลุ่มซึ่งมีน้อยกว่า และไม่คุ้ม ที่จะขายแบบนี้ในสยาม ยิ่งไปกว่านั้นหากราคา และรูปลักษณ์สินค้าไม่เข้ากัน ลูกค้าก็จะเกิดความข้องใจและอาจจะกังวลที่จะซื้อ เพราะราคาคือตัวบ่งบอกภาพลักษณ์ของสินค้าที่สำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม ในด้านการทำธุรกิจขนาดย่อมแล้ว ราคาที่เราต้องการ อาจไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น แต่จะมองกันในเรื่องของตัวเลข ซึ่งจะมีวิธีกำหนดราคาง่ายต่างๆดังนี้</span><br /><br /><span style="background-color: white;">2.1 กำหนดราคาตามลูกค้า คือการกำหนดราคาตามที่เราคิดว่า ลูกค้าจะเต็มใจจ่าย ซึ่งอาจจะได้มาจากการทำสำรวจ หรือแบบสอบถาม</span><br /><span style="background-color: white;">2.2 กำหนดราคาตามตลาด คือการกำหนดราคาตามคู่แข่งในตลาด ซึ่งอาจจะต่ำมากจนเราจะมีกำไรน้อยดังนั้นหาก เรา คิด ที่จะกำหนดราคาตามตลาด เราอาจจะต้องมานั่งคิดคำนวณย้อนกลับว่า ต้นทุนสินค้าควร เป็นเท่าไรเพื่อจะได้กำ ไร ตามที่ตั้งเป้า แล้วมาหาทางลดต้นทุนลง</span><br /><span style="background-color: white;">2.3 กำหนดราคาตามต้นทุน+กำไร วิธีนี้เป็นการคำนวณว่าต้นทุนของเราอยู่ที่เท่าใด แล้วบวกค่าขนส่ง ค่าแรงของเรา บวกกำไร จึงได้มาซึ่งราคา แต่หากราคาที่ได้มาสูงมาก เราอาจจำเป็นต้องมีการทำประชาสัมพันธ์ หรือปรับภาพลักษณ์ ให้เข้ากับราคานั้น</span><br /><span style="background-color: white;">- Place</span><br /><span style="background-color: white;">คือวิธีการนำสินค้าไปสู่มือของลูกค้า หากเป็นสินค้าที่จะขายไปหลายๆแห่ง วิธีการขายหรือการกระจายสินค้าจะมีความ สำคัญมาก หลักของการเลือกวิธีกระจายสินค้านั้นไม่ใช่ขายให้มากสถานที่ที่สุดจะดีเสมอ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า สินค้าของท่านคือ อะไร และกลุ่มเป้าหมายท่านคือใคร เช่นของใช้ในระดับบน ควรจะจำกัดการขายไม่ให้มีมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เสียภาพ ลักษณ์ได้สิ่งที่เราควรจะคำนึงอีกอย่างของวิธีการกระจายสินค้าคือต้นทุนการ กระจายสินค้า เช่นการขายสินค้าใน 7-eleven อาจจะ กระจายได้ทั่วถึง แต่อาจจะมีต้นทุนที่สูงกว่า หากจะกล่าวถึงธุรกิจที่เป็นการขายหน้าร้าน Place ในที่นี้ก็คือ ทำเล ซึ่งก็ควรเลือกที่ ให้เหมาะสมกับสินค้าของเราเช่นกัน อย่าง มาบุญครองกับ สยามเซ็นเตอร์ จะมีกลุ่มคนเดินที่ต่างออกไปและลักษณะสินค้าและ ราคาก็ไม่เหมือนกันด้วยทั้งๆที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ท่านควรขายที่ใดก็ต้องพิจารณาตามลักษณะสินค้า</span><br /><span style="background-color: white;">-Promotion</span><br /><span style="background-color: white;">คือการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อบอกลูกค้าถึงลักษณะสินค้าของเรา เช่นโฆษณาในสื่อต่างๆ หรือการทำกิจกรรม ที่ทำให้คนมาซื้อสินค้าของเรา เช่นการทำการลดราคาประจำปี หากจะพูดในแง่ของธุรกิจขนาดย่อม การโฆษณาอาจจะเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็นเพราะจะต้องใช้เงิน จะมากหรือน้อยก็ ขึ้นกับ ช่องทางที่เราจะใช้ ที่จะดีและอาจจะฟรีคือ สื่ออินเตอร์เนต ซึ่งมีผู้ใช้เพิ่มจำนวนขึ้นมากในแต่ละปี สื่ออื่นๆที่ถูกๆ ก็จะเป็นพวก ใบปลิว โปสเตอร์ หากเป็นสื่อท้องถิ่นก็จะมี รถแห่ วิทยุท้องถิ่น หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น วิธีในการเลือกสื่อนอกจากจะดูเรื่องค่าใช้จ่าย แล้วควรดูเรื่องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย เช่นหากจะโฆษณาให้กลุ่มผู้ใหญ่ โดยเลือกสื่ออินเตอร์เนต(เพราะฟรี) ก็อาจจะเลือก เวบไซต์ที่ผู้ใหญ่เล่น ไม่ใช้เวบที่วัยรุ่นเข้ามาคุยกัน</span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-87734188487184806702014-03-31T07:50:00.002-07:002014-03-31T07:50:36.524-07:00อัตราส่วนทางการเงิน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม<div style="border: 0px; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif, 'MS Sans Serif'; line-height: 18px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px;">
1. อัตราส่วนสภาพคล่อง (liquidity ratios) เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นขององค์กร โดยการเปลี่ยนสินทรัพย์หมุนเวียน เช่น หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ลูกหนี้และสินค้า ให้เป็นเงินสดเพื่อชำระหนี้ระยะสั้น (ถ้าอัตราส่วนสภาพคล่องสูงแสดงว่าองค์กรมีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นได้ดี องค์กรจะมีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็จะน้อยไปด้วย แต่ถ้าอัตราส่วนสภาพคล่องต่ำแสดงว่าองค์กรจะมีปัญหาในการดำเนินงาน อาจจะขาดสภาพคล่องในการดำเนินงาน องค์กรจะมีความเสี่ยงสูง)</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif, 'MS Sans Serif'; line-height: 18px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px;">
2. อัตราส่วนกิจกรรม (asset management ratios) เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดการดำเนินงานขององค์กร โดยพิจารณาประสิทธิภาพภายในการใช้สินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น ลูกหนี้ สินค้าคงคลัง สินทรัพย์ถาวร สินทรัพย์ทั้งหมด เพื่อก่อให้เกิดยอดขาย</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif, 'MS Sans Serif'; line-height: 18px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px;">
อัตราส่วนกิจกรรม ประกอบด้วย<br />2.1 Inventory Turnover อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง<br />เป็นการวิเคราะห์ว่าใน 1 รอบระยะเวลาบัญชี สินค้ามีการหมุนเวียนกี่ครั้ง ถ้ามีค่าสูง (กว่ามาตรฐาน) แสดงว่าสินค้ามีการหมุนเวียนมาก แสดงว่ายอดขายสูงขึ้น และการที่ยอดขายสูงขึ้นทำให้สินค้าคงคลังลดน้อยลง หาก inventory turnover สูง องค์กรควรจะวางแผนรองรับการเจริญเติบโต โดยการผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อผู้บริโภค หากองค์กรไม่มีการวางแผนสินค้าจะไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย จะทำให้เสียโอกาสในการเจริญเติบโตขององค์กร<br />ถ้า inventory turnover ต่ำ แสดงว่ายอดขายขององค์กรลดลง สินค้าคงเหลือจะมากขึ้น จะทำให้เกิดต้นทุนในการจัดเก็บสินค้า ต้นทุนสินค้าเสียหาย ต้นทุนสินค้าล้าสมัย ต้นทุนสินค้าสูญหาย ซึ่งต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้กำไรขององค์กรลดลง จะต้องหาสาเหตุว่าอะไรที่ทำให้ยอดขายลดลง<br />2.2 Days Sales Outstanding ระยะเวลาการเก็บหนี้<br />แสดงให้เห็นประสิทธิภาพขององค์กรในการจัดเก็บหนี้ หรือรับชำระหนี้จากลูกหนี้ ซึ่งจะมีผลต่อเงินสดขององค์กร<br />หาก days sales outstanding มีค่าสูงขึ้นแสดงว่าระยะเวลาจัดเก็บหนี้จะนานมากขึ้น ทำให้องค์กรมีเงินสดน้อยลง ไม่สามารถเปลี่ยนลูกหนี้ให้เป็นเงินสดได้ จะทำให้เกิดหนี้สูญได้ง่าย<br />2.3 Fixed Assets Turnover ประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ถาวร<br />การใช้สินทรัพย์ถาวรเพื่อก่อให้เกิดยอดขาย ถ้าอัตราส่วน fixed assets turnover ต่ำ แสดงว่าองค์กรยังไม่มีประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ถาวร อาจมีสินทรัพย์ถาวรเกินความต้องการ อาจมีที่ดิน อาคารหรืออุปกรณ์มากเกินไป หรือเครื่องจักรอาจล้าสมัย จึงทำให้สินทรัพย์ถาวรมากเกินไป ซึ่งทำให้เกิดยอดขายที่ต่ำลงและไม่สามารถสร้างยอดขายได้<br />ถ้า fixed assets turnover สูง แสดงว่าองค์กรมีประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ถาวรที่ดี มีการจัดสินทรัพย์ถาวรที่เหมาะสม มีสิน มีสินทรัพย์ถาวรในจำนวนที่เหมาะสมกับกิจการ สามารถทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้<br />2.4 Total Assets Turnover ประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ทั้งหมดเพื่อให้เกิดยอดขาย<br />ถ้า total assets turnover มีค่าสูงแสดงว่ามีการจัดการสินทรัพย์ทั้งหมด ทั้งสินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ถาวรอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้ และถ้า total assets turnover มีค่าต่ำแสดงว่ามีการจัดการสินทรัพย์ทั้งหมด ทั้งสินทรัพย์หมุนเวียนและสินทรัพย์ถาวรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ จะต้องแก้ไขในเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนและสินทัพย์ถาวรด้วย<br />Fixed Assets Turnover ใช้วิเคราะห์ร่วมกับ Total Assets Turnover ถ้า Fixed Assets Turnover ดีคือสูงขึ้นเลื่อย ๆ แต่ Total Assets Turnover ต่ำ แสดงว่าประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ถาวรได้ดี แต่ต้องไปแก้ไขที่สินทรัพย์หมุนเวียน</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif, 'MS Sans Serif'; line-height: 18px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px;">
3. อัตราส่วนหนี้สิน (debt management ratios) เป็นอัตราส่วนที่ใช้ในการวัดความสามารถในการก่อหนี้ ถ้าองค์กรที่มีหนี้มาก จะเป็นองค์กรที่มีความผูกพันธ์ทางการเงินจึงมีความเสี่ยงสูง</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif, 'MS Sans Serif'; line-height: 18px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px;">
อัตราส่วนหนี้สินแบ่งเป็น 2 ตัว คือ<br />3.1 หนี้สินต่อทรัพย์สิน (debt ratio)<br />ถ้าอัตราส่วนหนี้สินต่อทรัพย์สินสูงแสดงว่า องค์กรมีภาระผูกพันธ์ทางการเงินมากองค์กรจะระดมทุนจากการก่อหนี้ได้ยาก หรือเจ้าหนี้อาจไม่พิจารณาให้เงินกู้กับองค์กร ดังนั้นองค์กรจะต้องระดมทุนด้วยวิธีการอย่างอื่นแทนการกู้ เช่น การระดมทุนจากผู้ถือหุ้นหรือการให้เช่า<br />ถ้าอัตราส่วนหนี้สินต่ำ แสดงว่าองค์กรมีภาระผูกพันธ์ทางการเงินต่ำ จึงมีความเสี่ยงต่ำ แต่ต้องพิจารณาว่าโครงสร้างเงินทุนขององค์กรมีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งถ้าใช้หนี้สินน้อยอาจจะไม่มีความเหมาะสมก็ได้ ถ้าหนี้สินน้อยอยู่ต้นทุนทางการเงิน (WACC) จะสูงขึ้น ดังนั้นต้องพิจารณาความเหมาะสมของต้นทุนทางการเงินด้วย<br />อัตราส่วนหนี้สินต่อทรัพย์สินควรมีค่าอยู่ในระดับต่ำ เพราะจะทำให้องค์กรระดมเงินทุนด้วยการกู้ได้<br />3.2 ความสามารถในการชำระดอกเบี้ย Time Interest Earned--TIE<br />เป็นอัตราส่วนที่ใช้พิจารณาว่า องค์กรมีกำไรเป็นกี่เท่าของดอกเบี้ยจ่าย TIE ควรมีค่าสูง จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพขององค์กรในการหากำไขเพื่อชำระดอกเบี้ย<br />อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ต้องใช้คู่กับ TIE หากอัตราส่วนหนี้สินสูงและ TIE สูงด้วย แสดงว่าองค์กรมีโอกาสในการระดมเงินทุนด้วนวิธีการกู้เงินเพิ่มขึ้น แต่ถ้าอัตราส่วนหนี้สินสูงแต่ TIE ต่ำ แสดงว่าองค์กรจะระดมทุนด้วยการก่อหนี้ด้ยากเจ้าหนี้จะไม่พิจารณาปล่อยเงินกู้ให้กับองค์กร<br />ถ้าอัตราหนี้สินต่ำและ TIE ต่ำ การระดมทุนด้วยการก่อหนี้ได้หรือไม่แล้วแต่เจ้าหนี้และต้องดูตัวอื่นประกอบด้วย เช่นนำเงินไปทำอะไร หรือดูวิธีการใช้เงิน<br />ถ้าหนี้ระยะยาวต้องเอาไปใช้กับสินทรัพย์ถาวร ส่วนหนื้ระยะสั้นต้องใช้กับสินทรัพย์หมุนเวียน</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif, 'MS Sans Serif'; line-height: 18px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px;">
4. อัตราส่วนกำไร (profitability ratios) แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของผู้บริหารในการควบคุมต้นทุนในด้านต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดกำไร<br />4.1 อัตราส่วนกำไรขั้นต้น (gross profit) แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของผู้บริหารในการควบคุมต้นทุนการผลิต<br />ถ้าอัตราส่วน gross profit เพิ่มมากขึ้น แสดงว่าผู้บริหารมีประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงได้ ต้นทุนการผลิตคือ ต้นตุนที่เกิดจากของเสียระหว่างการผลิต เวลาการผลิต การซ่อมแซมเครื่องจักรและการบำรุงรักษา ซึ่งถ้าควบคุมต้นทุนการผลิตทั้ง 3 ตัวนี้ได้ จะทำให้กำไรขั้นต้นสูงขึ้น<br />4.2 Net Profit เป็นประสิทธิภาพของผู้บริหารในการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขายและในการบริหาร เพื่อทำให้กำไรสุทธิเพิ่มมากขึ้น<br />ถ้า Net Profit Margin สูง แสดงว่าผู้บริหารสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหารให้ต่ำลงได้ ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขาย ต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ที่สินค้าคงคลัง<br />ต้นทุนในการบริหารอยู่ที่ management เรื่องของการติดต่อสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพเรื่องของการใช้แรงจูงใจ เรื่องของการมีผู้บริหารระดับกลางมากเกินไป ดังนั้นจะต้องทำให้องค์กรแบนราบลง ซึ่งถ้าองกรแบนราบลงแล้วใช้ Empowerment แล้วจะทำให้สายบังคับบัญชาสั้นลง แต่ span of control (ขนาดของการควบคุม) ก็จะกว้างขึ้น จะทำให้ประหยัดต้นทุนในการบริหารได้<br />4.3 ROA หรือ ROE (Return on Assets ; Return on Equity) คือการใช้สินทรัพย์ทั้งหมดให้เกิดกำไรสุทธิ จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของผู้บริหารในการใช้สินทรัพย์เพื่อก่อให้เกิดกำไรสุทธิ<br />ถ้าอัตราส่วน ROA หรือ ROI สูงแสดงว่าผู้บริหารสามารถใช้สินทรัพย์ทั้งหมดให้เกิดกำไรสุทธิได้ดี จะทำให้ ROI กับROA สูงขึ้นได้ จะต้องให้มีกำไรมากๆซึ่งจะมีกำไรได้จะต้องมาก และใช้สินทรัพย์ให้น้อยลง<br />4.4 ROE--Return on Equity ประสิทธิภาพของผู้บริหารในการใช้ส่วนของผู้ถือหุ้นให้เกิดกำไรมากที่สุด หรือประสิทธิภาพของผู้บริหารในการตอบแทนผู้ถือหุ้นให้ได้มากที่สุด</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif, 'MS Sans Serif'; line-height: 18px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px;">
การจะทำให้ ROE สูงขึ้นได้โดยการทำให้กำไรสุทธิสูงแต่ส่วนผู้ถือหุ้น (equity) ต่ำโดยการกู้มาลงทุน แต่จะกู้มากก็ไม่ได้เพราะจะกระทบกับ debt ratio และ TIE</div>
<span style="border: 0px; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif, 'MS Sans Serif'; line-height: 18px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px;"><br /></span>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-63206736822022135052014-02-23T18:40:00.002-08:002014-02-23T18:40:21.336-08:00งบประมาณแบบฐานศูนย์ (ZERO BASE) และงบประมาณแบบสะสม (Incremental Budget)<b>งบประมาณแบบฐานศูนย์ </b><br />
<b>ในลักษณะกว้าง ๆ เป็นระบบงบประมาณที่จะพิจารณา</b><br />
<b>งบประมาณทุกปีอย่างละเอียดทุกรายการ โดยไม่คำ นึงถึงว่ารายการหรือแผนงานนั้นจะเป็นรายการ</b><br />
<b>หรือแผนงานเดิมหรือไม่ ถึงแม้รายการหรือแผนงานเดิมที่เคยถูกพิจารณาและได้รับงบประมาณ</b><br />
<b>ในงบประมาณปีที่แล้วก็จะถูกพิจารณาอีกครั้ง และอาจเป็นไปได้ว่า ในปีนี้อาจจะถูกตัดงบประมาณลง</b><br />
<b>ก็ได้ เช่น แผนงาน แผนงานหนึ่ง ปีที่แล้วได้รับงบประมาณรวม 1,000 ล้านบาท เพราะถูกจัดไว้ว่ามี</b><br />
<b>ความจำ เป็นและสำ คัญลำ ดับ 1 พอมาปีงบประมาณใหม่อาจจะได้รับงบประมาณ 500 ล้านบาท</b><br />
<b>ไม่ถึง 1,000 ล้านบาทเดิมก็ได้ ทั้งนี้เพราะเป็นแผนงานที่จำ เป็นและสำ คัญสำ หรับปีที่แล้ว แต่พอมาปีนี้</b><br />
<b>แผนงานนั้น ๆ อาจจะไม่จำ เป็นหรือสำ คัญเป็นอันดับที่ 1 ต่อไปก็ได้ ไม่จำ เป็นต้องได้รับงบประมาณ</b><br />
<b>เท่าเดิมต่อไปก็ได้ และในทางตรงกันข้ามแผนงานอีกแผนงานหนึ่งปีที่แล้วถูกจัดอันดับความสำ คัญไว้</b><br />
<b>ที่ 3 แต่พอมาปีนี้อาจจะจัดอันดับความสำ คัญเป็นที่ 1 และได้รับงบประมาณมากกว่าเดิมปีที่แล้ว</b><br />
<b>เพิ่มขึ้นอีกร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้</b><br />
<b><br /></b>
<b>งบประมาณแบบสะสม (Incremental Budget)</b><br />
<b>การจัดทำ งบประมาณในแต่ละปีเป็นภาระหนัก เนื่องจากต้องใช้ข้อมูลมากในการพิจารณา</b><br />
<b>และต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายหน่วยงานด้วยกัน ดังนั้นต้องใช้เวลามากในการจัดทำ งบประมาณ</b><br />
<b>หากจะต้องจัดทำ งบประมาณใหม่ทั้งหมดทุกปีคงจะทำ ได้ยาก และคงมีข้อบกพร่องมากด้วย ดังนั้นเพื่อ</b><br />
<b>ให้ทันกับเวลาที่มีอยู่ และเพื่อให้งบประมาณได้พิจาณณาให้เสร็จทันและสามารถนำ งบประมาณมาใช้</b><br />
<b>จ่ายได้ จึงได้มีการพิจาณางบประมาณเฉพาะส่วนเงินงบประมาณที่เพิ่มใหม่ที่ยังไม่ได้รับการพิจารภณา</b><br />
<b>จากปีที่แล้วนั้น แต่เงินงบประมาณในปีที่แล้วที่ได้เคยพิจารณาไปครั้งหนึ่งแล้ว จะไม่มีการพิจารณาอีก</b><br />
<b>ครั้ง เพียงแต่ยกยอดเงินมาตั้งเป็นงบประมาณใหม่ได้เลย เพราะถือว่าได้มีการพิจารณาไปแล้วครั้งหนึ่ง</b><br />
<b>คงไม่มีความจำ เป็นที่จะต้องไปพิจารณาใหม่อีกครั้ง</b>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-67419318985100365232014-02-23T18:37:00.006-08:002014-02-23T18:37:52.717-08:00งบประมาณที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน<b>1) เป็นศูนย์รวมของเงินงบประมาณทั้งหมด ปกติการใช้จ่ายเงินงบประมาณควรจะ</b><br />
<b>ใช้จ่ายและพิจารณาจากศูนย์ หรือแหล่งรวมเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อจะได้มีการพิจารณาเปรียบเทียบ</b><br />
<b>การใช้จ่ายในแต่ละรายการ หรือทุกโครงการว่ารายการใดมีความสำ คัญจำ เป็นมากน้อยกว่ากัน หากราย</b><br />
<b>การใดมีความสำ คัญและจำ เป็นมาก ก็ควรได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายมาก ทั้งนี้เพื่อความยุติ</b><br />
<b>ธรรมในการจัดสรรเงินงบประมาณทุกโครงการ ควรมีสิทธิเท่า ๆ กันในการเสนอเข้ารับการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณพร้อมกัน เพื่อจะได้มีการประสานงานและโครงการเข้าด้วยกัน ป้องกันมิให้</b><br />
<b>มีการทำ งานหรือโครงการซํ้าซ้อน อันจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ ดังนั้นจึงไม่ควรแยกการ</b><br />
<b>พิจารณางบประมาณไว้ในหลาย ๆ จุด หรือหลายครั้ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการพิจารณาที่ต่างกันและไม่</b><br />
<b>ยุติธรรม</b><br />
<b>แต่อย่างไรก็ตาม ในบางโอกาสก็ยังมีความจำ เป็นที่จะต้องแยกตั้งเงินไว้ต่างหากเป็น</b><br />
<b>งบพิเศษ นอกเหนือจากงบประมาณ เช่น งบกลาง งบราชการลับ ซึ่งถ้ามีจำ นวนไม่มากเกินไปก็มักจะ</b><br />
<b>ไม่เป็นภัยทั้งยังช่วยให้เกิดความสะดวกบางอย่างด้วย แต่ถ้าการตั้งงบพิเศษมีมากเกินไปจะเกิดผลเสีย</b><br />
<b>ต่อการบริหารงบประมาณ เพราะจะทำ ให้เกิดการ คือ โอกาสแยกเงินมาใช้จ่ายได้ง่ายขึ้นและยังทำ ให้</b><br />
<b>การบริหารงบประมาณเป็นไปแบบไม่มีแผนและเป้าหมายที่ชัดเจน</b><br />
<b>2) มีลักษณะของการพัฒนาเป็นหลัก งบประมาณที่ดีควรจะดำ เนินการจัดสรรโดยยึด</b><br />
<b>หลักการพัฒนาเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าเป็นหลัก ทั้งนี้เนื่องจากมีงบประมาณจำ กัด จึงควรมีการ</b><br />
<b>พิจารณาจัดสรรงบประมาณตามหลักการพัฒนาที่ดีว่าด้านไหนควรมาก่อนหลัง ตามสถานการณ์และ</b><br />
<b>ความจำ เป็น3) การกำ หนดเงินต้องสอดคล้องกับปัจจัยในการทำ งาน การจัดงบประมาณในแผน</b><br />
<b>งานต้องมีความเหมาะสมให้งานนั้น ๆ สามารถจัดทำ กิจกรรมได้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรืออีกนัย</b><br />
<b>หนึ่ง คือ การกำ หนดเป้าหมายหรือผลที่จะได้รับต้องสอดคล้องกับงบประมาณและความเป็นไปได้</b><br />
<b>4) มีลักษณะที่สามารถตรวจสอบได้ หรือเป็นเครื่องมือที่จะใช้ตรวจสอบการบริหาร</b><br />
<b>งานของหน่วยงานได้ การจัดงบประมาณในแผนงานต่างควรมีรายละเอียดของกิจกรรมต่าง ๆ อย่างพอ</b><br />
<b>เพียงและเกิดผลเป็นรูปธรรม</b><br />
<b>5) มีระยะการดำ เนินงานที่เหมาะสม ตามปกติงบประมาณที่ดีควรมีระยะเวลาเหมาะ</b><br />
<b>สมตามสถานการณ์ ไม่สั้นไม่ยาวเกินไป โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลา ประมาณ 1 ปี การเริ่มต้นใช้งบ</b><br />
<b>ประมาณจะเริ่มในเดือนใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน เช่น งบประมาณแผ่นดิน เริ่ม</b><br />
<b>เดือนตุลาคม ถึงเดือนกันยายน ของปีต่อไป งบประมาณเงินรายได้ของสถานศึกษาใช้ตามปีการศึกษา</b><br />
<b>เป็นต้น</b><br />
<b>6) มีลักษณะช่วยให้เกิดการประหยัด ในการทำ งบประมาณ ควรพยายามให้การใช้</b><br />
<b>จ่ายเงินตามโครงการต่าง ๆ ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยพยายามไม่ให้มีการใช้จ่ายเกินความจำ เป็น</b><br />
<b>ฟุม่ เฟือย หรือเป็นการใช้จ่ายที่สูญเปล่า ไม่เกิดประโยชน์คุ้มค่า7) มีลักษณะชัดเจน งบประมาณที่ดีควรมีความชัดเจน เข้าใจง่ายเน้นถึงความสำ คัญ</b><br />
<b>แต่ละโครงการได้ดี ไม่คลุมเครือ ง่ายต่อการพิจารณาวิเคราะห์ และเป็นประโยชน์ต่อผู้นำ ไปปฏิบัติด้วย8) มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ งบประมาณที่ดีจะต้องเป็นงบประมาณที่มีความ</b><br />
<b>ถูกต้องทั้งในรายละเอียดทั้งในด้านตัวเลขและรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ หากงบประมาณมีข้อ</b><br />
<b>บกพร่องในด้านความถูกต้อง ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดพลาดหรือความไม่รอบคอบก็ตามอาจเกิดผล</b><br />
<b>เสียหายขึ้นได้ และต่อไปงบประมาณอาจไม่รับความเชื่อถือ</b><br />
<b>9) จะต้องเปิดเผยได้ งบประมาณที่ดีจะต้องมีลักษณะที่สามารถจะเปิดเผยแก่</b><br />
<b>สาธารณะ หรือผู้เกี่ยวข้องทราบได้ ไม่ถือเป็นความลับ เพราะการเปิดเผยเป็นการแสดงถึงความบริสุทธิ์</b><br />
<b>และโปร่งใสในการบริหารหน่วยงาน</b><br />
<b>10) มีความยืดหยุน่ งบประมาณที่ดีควรจะยืดหยุ่นได้ตามความจำ เป็น หากจัดวางงบ</b><br />
<b>ประมาณไว้อย่างเคร่งครัดจนขยับไม่ได้ อาจจะก่อให้เกิดความไม่คล่องตัวในการทำ งาน เพราะลักษณะ</b><br />
<b>ของการทำ งบประมาณเป็นการวางแผนการทำ งานในอนาคต ซึ่งอาจมีปัจจุบันอื่นมากระทบทำ ให้การ</b><br />
<b>บริหารงบประมาณผิดพลาด และอย่างไรก็ตาม ถ้ามีความยืดหยุ่นมากก็อาจเกิดปัญหาการใช้งบ</b><br />
<b>ประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ</b>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-85362528306138114332014-02-23T18:34:00.002-08:002014-02-23T18:34:38.543-08:00ความสำ คัญและประโยชน์ของงบประมาณ<b>งบประมาณมีความสำ คัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร หน่วยงานสามารถนำ เอา</b><br />
<b>งบประมาณมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงานให้เจริญก้าวหน้า ความสำ คัญและประโยชน์</b><br />
<b>ของงบประมาณมีดังนี้</b><br />
<b>1) ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงาน ตามแผนงานและกำ ลังเงินที่มีอยู่โดยให้</b><br />
<b>มีการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับแผนงานที่วางไว้ เพื่อป้องกันการรั่วไหลและการปฏิบัติงานที่ไม่จำ</b><br />
<b>เป็นของหน่วยงานลดลง</b><br />
<b>2) ให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหน่วยงาน ถ้าหน่วยงานจัดงบประมาณการใช้จ่าย</b><br />
<b>อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ จะสามารถพัฒนาให้เกิดความเจริญก้าวหน้าแก่หน่วยงานและสังคม</b><br />
<b>โดยหน่วยงานต้องพยายามใช้จ่ายและจัดสรรงบประมาณให้เกิดประสิทธิผลไปสู่โครงการที่จำ เป็น</b><br />
<b>เป็นโครงการลงทุนเพื่อก่อให้เกิดความก้าวหน้าของหน่วยงาน</b><br />
<b>3) เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำ กัดให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก</b><br />
<b>ทรัพยากรหรืองบประมาณของหน่วยงานมีจำ กัด ดังนั้นจึงจำ เป็นที่จะต้องใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือ</b><br />
<b>ในการจัดสรรทรัพยากรหรือใช้จ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพ โดยมีการวางแผนในการใช้และจัดสรรเงิน</b><br />
<b>งบประมาณไปในแต่ละด้าน และมีการวางแผนการปฏิบัติงานในการใช้จ่ายทรัพยากรนั้น ๆ ด้วย เพื่อที่</b><br />
<b>จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในเวลาที่เร็วที่สุด และใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด</b><br />
<b>4) เป็นเครื่องมือกระจายทรัพยากร และเงินงบประมาณที่เป็นธรรม งบประมาณ</b><br />
<b>สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจัดสรรงบประมาณที่เป็นธรรมไปสู่จุดที่มีความจำ เป็นและทั่วถึงที่จะทำ</b><br />
<b>ให้หน่วยงานนั้นสามารถดำ เนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ</b><br />
<b>5) เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ งานและผลงานของหน่วยงาน เนื่องจากงบประมาณ</b><br />
<b>เป็นที่รวมทั้งหมดของแผนงานและงานที่จะดำ เนินการในแต่ละปีพร้อมทั้งผลที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น</b><br />
<b>หน่วยงานสามารถใช้งบประมาณหรือเอกสารงบประมาณที่แสดงถึงงานต่าง ๆ ที่ทำ เพื่อเผยแพร่และ</b><br />
<b>ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ</b>modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-54729145553050002442013-12-09T07:26:00.000-08:002013-12-09T07:26:03.781-08:00Employee Testing and Selectingการทดสอบ เป็นวิธีการเชิงระบบที่ใช้วัดเพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมของบุคคลคน<br />
<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" height="214" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEkyfAgobn-hslsPimDTA6RgVO401z5ylonYRP6ZydygYHFnJBM6SyjgZ0j1okIPdQ8rAqfWUH7Hgw47l6w_IAE0enL8mvATnAK55aES8zRCJcGqIMwNlu132L82z2OA78faaxjJmZ3SmA/s320/13540800101354080087l.jpg" width="320" /></span><br />
เดียวหรือหลายคน ณ เวลาหนึ่ง หรือต่างเวลากัน การคัดเลือก เป็นกระบวนการพิจารณา<br />
คัดเลือกบุคคลที่มาสมัครงานโดยคาดว่าจะเป็นบุคคลที่ทำงานได้ประสบความสำคัญได้ดีที่สุด<br />
โดยพิจารณาจากทักษะ ความสามารถและคุณสมบัติอื่นๆที่จำเป็นเพื่อการทำงานอย่างใด<br />
อย่างหนึ่ง กระบวนการคัดเลือก เป็นกระบวนการกลั่นกรองผู้สมัครงานเพื่อให้เกิดความ<br />
เชื่อมั่นว่าจะได้ผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดมาทำงานความสำคัญของกระบวนการคัดเลือก มี<br />
ความสำคัญด้วยเหตุผล 3 ประการ<br />
(1) ผลการปฏิบัติงาน(Performance) เป็นกลุ่มของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับ<br />
งานของพนักงาน พนักงานที่ไม่มีความสามารถจะไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิผล<br />
การกลั่นกรองจึงเป็นวิธิการคัดคนที่ไม่มีคุณสมบัติตามต้องการออกก่อนที่จะรับบุคคลที่มีความ<br />
เหมาะสมเข้ามาทำงาน<br />
(2) ต้นทุน การกลั่นกรองที่มีประสิทธิผลเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากในการสรรหา<br />
และจ้างพนักงานมีต้นทุนสูง<br />
(3) ความเกี่ยวกันกับกฎหมายและความไม่รอบคอบในการจ้างงาน (Legal<br />
implications and negligent hiring)<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-36487118648890303172013-12-09T07:24:00.000-08:002013-12-09T07:24:09.455-08:00การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ต้องการการพยากรณ์ 3 อย่าง1. การพยากรณ์ความต้องการบุคลากรของบริษัท โดยการคาดการณ์ความ<br />
ต้องการในผลิตภัณฑ์หรือบริการ การคาดการณ์ปริมาณสินค้าหรือบริการที่สนองความ<br />
ต้องการที่ได้คาดการณ์ไว้ แล้วจึงประมาณจำนวนบุคลกรที่เหมาะสมในการผลิตสินค้าหรือ<br />
บริการ อย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึง Projected turnover, Quality and skill of your<br />
employees, decisions to upgrade the quality of products, Technology and other<br />
<br />
<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" height="212" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaBmz4D7v3E2hZQQUtA13hiIiluvgxw7rmoZw_JszEDglSdbqDx0VJbMF7jDp45-4dAtCPRy-oIUVE8dfG1hVm7EyWWJ_p9gOeyTgP7HriMiU1hwUw4sKxbI9oENsU0Ft6nppwPwI1qCAL/s320/Knowledge_2010_06_29_16_06_06_2bc32b7eafc168c0a34197c8ad12081c_fullsize.jpg" width="320" /></span><br />
changes resulting in increased productivity and your financial resources. อาจใช้วิธี<br />
Trend Analysis โดยการศึกษาความต้องการบุคลากรในอดีตเพื่อใช้ในการคาดการณ์ใน<br />
อนาคต หรือใช้วิธี Ratio Analysis เป็นการคาดการณ์จากสัดส่วนของงานกับจำนวนคน หรือ<br />
ยอดขายกับจำนวนพนักงานขาย ใช้วิธี Scatter Plot โดยช่วยวิเคราะห์ว่าปัจจัยสองอย่างมี<br />
ความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่นจำนวนคนไข้กับจำนวนพยาบาล รวมถึงการคาดการณ์โดยใช้<br />
คอมพิวเตอร์ และการคาดการณ์ของทีมผู้บริหาร<br />
2. การพยากรณ์แหล่งแรงงานจากภายในองค์กร Supply of inside<br />
candidates อาจใช้ Manual Systems และ Replacement Charts รวมไปถึง<br />
Computerized information Systems การใช้คอมพิวเตอร์โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลของ<br />
พนักงานจากธนาคารข้อมูล (Data Bank) ด้วยคอมพิวเตอร์เหมาะในการใช้เมื่อมีจำนวน<br />
พนักงานจำนวนมาก ทั้งนี้ต้องมีมาตรการรักษาความลับ โดย Programmer สามารถบันทึก<br />
ข้อมูลเท่านั้น ส่วนการอ่านจะทำได้โดยพนักงานบัญชีในส่วนที่เกี่ยวข้องหรือมีรหัสผ่าน<br />
เท่านั้น จึงมีสิทธิอ่านข้อมูล การบรรจุตำแหน่งที่เปิดรับจากผู้สมัครภายใน มีข้อดีดังนี้:-<br />
(1) พนักงานจะรู้สึกว่าความสามารถของเขาเป็นที่ยอมรับของบริษัท และตั้งใจ<br />
ทำงานมากขึ้น<br />
(2) พนักงานจะรู้สึกผูกพันกับบริษัท ทำให้ลดอัตราการลาออกลง<br />
(3)ทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนธุรกิจในระยะยาว<br />
(4) เป็นการปลอดภัยกับบริษัท เพราะสามารถวิเคราะห์ประเมินทักษะของ<br />
พนักงานได้ถูกต้องกว่า<br />
(5) ต้องการการปฐมนิเทศและการฝึกอบรมน้อยกว่าการรับพนักงานใหม่<br />
3.การพยากรณ์แหล่งแรงงานจากภายนอก Supply of outside candidates<br />
โดยมีการคาดคะเน<br />
(1) สภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไป<br />
(2) สภาวะตลาดท้องถิ่น<br />
(3) สภาวะด้านตลาดมืออาชีพ (ต้องคาดคะเนจำนวนผู้สมัครงานในอาชีพ<br />
เฉพาะว่ามีจำนวนเพียงพอหรือไม่)<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-46304703946628093542013-11-30T08:36:00.003-08:002013-11-30T08:36:31.480-08:00การตลาดกับการตำเนินงานขององค์กรประเภทต่างๆ<div class="MsoNormal" style7="" style="font-size: 21px;">
<span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">สามารถที่จะประมวลประเภทขององค์กร และความจำเป็นต่อการใช้การตลาดเป็นเครื่องมือในการบริหารองค์กรเหล่านั้น ได้ดังนี้</span><span class="style1" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style10="" style7="" style="font-size: 21px;">
<span class="style1" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"> </span><span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">1.การตลาดกับการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจ</span><span class="style1" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"> <o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style10="" style7="" style="font-size: 21px; text-indent: 36pt;">
<span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">สามารถสรุปได้ว่า</span><span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">การตลาดมีความสำคัญต่อการบริหารองค์กรธุรกิจ ในด้านต่างๆ ดังนี้</span><span class="style1" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style10="" style7="" style="font-size: 21px;">
<span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"> -เป็นสิ่งที่ผู้ถือหุ้น ผู้ประกอบการ</span> <span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">และผู้บริหารขององค์กร จะต้องพิจารณาเป็นเบื้องต้น</span> <span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ก่อนการลงทุนในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใดๆ</span> <span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">เพราะหากไม่มีตลาดที่ดีมารองรับได้อย่างเหมาะสมเพียงพอธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ</span> <span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ย่อมไม่สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน</span><span class="style1" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style10="" style7="" style="font-size: 21px;">
<span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"> -เป็นเครื่องมือในการพิจารณาความเป็นไปได้ของแผนงานทางธุรกิจในแต่ละโครงการ</span><span class="style1" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style10="" style7="" style="font-size: 21px;">
<span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"> -เป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลกำไร</span> <span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">หรือผลตอบแทนที่คุ้มค่าการลงทุนขององค์กร และผู้ถือหุ้น</span><span class="style1" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style10="" style7="" style="font-size: 21px;">
<span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"> -เป็นเครื่องมือในการสร้างภาพลักษณ์อันดีแก่สินค้าหรือบริการขององค์กร</span> <span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ให้เป็นที่ย่อมรับของสังคม เป็นต้น</span><span class="style1" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><o:p> </o:p><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal" style10="" style7="" style="font-size: 21px;">
<span class="style1" lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"> 2.การตลาดกับการบริหารในหน่วยงานภาครัฐ</span><span class="style1" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><br /><span lang="TH"> การกำหนดนโยบายหรือมาตรการใดๆ เพื่อการบริหารและปกครองประเทศซึ่งมีเป้าหมายที่ต้องการยกระดับคุณภาพ ชีวิตของประชาชนไทยให้สูงขึ้น โดยการสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงแก่ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งหมายถึงการพยายามก่อให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นจากการลงทุนดำเนินธุรกิจภายในประเทศ และส่งออกสินค้าหรือบริการที่ผลิตได้ออกจำหน่ายยังตลาดโลก เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกลับมาสู่ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ และส่งผลไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศให้สูงขึ้นเป็นลำดับการบริหารงานที่จะก่อให้เกิด ความสำเร็จตามเป้าหมายดังกล่าวได้ จำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจกลไกการทำงานของการตลาดเป็นพื้นฐาน </span></span></div>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-2492103052631281852013-09-24T23:11:00.003-07:002013-09-24T23:11:47.935-07:00ผลตอบแทนจากการลงทุนผู้ลงทุนคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนในรูปของกระแสเงินสด
และมีความเสี่ยงในความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดนั้น <br />
<b>ผลตอบแทน = เงินที่ได้รับจากการลงทุน - เงินลงทุน</b> <br />
<b>อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน = ผลตอบแทน / เงินลงทุน</b> <br />
<h3>
<span class="mw-headline" id=".E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.AA.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.A2.E0.B8.87">ความเสี่ยง</span></h3>
ความเสี่ยงคือความน่าจะเป็นที่จะได้รับผลตอบแทนต่ำหรือขาดทุน <br />
<h4>
<span class="mw-headline" id=".E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.AA.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.A2.E0.B8.87.E0.B8.88.E0.B8.B2.E0.B8.81.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.A5.E0.B8.87.E0.B8.97.E0.B8.B8.E0.B8.99.E0.B8.A1.E0.B8.B5_2_.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.A0.E0.B8.97">ความเสี่ยงจากการลงทุนมี 2 ประเภท</span></h4>
<ul>
<li><b>Stand-alone risk</b> <b>(ความเสี่ยงเฉพาะ)</b>
ความเสี่ยงของหลักทรัพย์ตัวเดียว </li>
<li><b>Portfolio risk</b> ความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์ </li>
</ul>
<h2>
<span class="mw-headline" id=".E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.AA.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.A2.E0.B8.87.E0.B9.80.E0.B8.89.E0.B8.9E.E0.B8.B2.E0.B8.B0">ความเสี่ยงเฉพาะ</span></h2>
ความเสี่ยงเฉพาะ เกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์เพียงตัวเดียว <br />
<h3>
<span class="mw-headline" id=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.84.E0.B8.B3.E0.B8.99.E0.B8.A7.E0.B8.93.E0.B8.AD.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B2.E0.B8.9C.E0.B8.A5.E0.B8.95.E0.B8.AD.E0.B8.9A.E0.B9.81.E0.B8.97.E0.B8.99.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.84.E0.B8.B2.E0.B8.94.E0.B8.A7.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.88.E0.B8.B0.E0.B9.84.E0.B8.94.E0.B9.89.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.9A_.28k.5E.29">การคำนวณอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ (k^)</span></h3>
<pre><b>k^ = ΣP<sub>i</sub>k<sub>i</sub></b>
</pre>
<pre><b>k^ = P<sub>1</sub>k<sub>1</sub> + P<sub>2</sub>k<sub>2</sub> + P<sub>3</sub>k<sub>3</sub>... + P<sub>n</sub>k<sub>n</sub></b>
</pre>
<u>ตัวอย่าง</u> <br />
<table border="1" class="wikitable">
<tbody>
<tr>
<th>ความต้องการสินค้า </th>
<th>ความน่าจะเป็น </th>
<th colspan="2">อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน </th></tr>
<tr>
<td></td>
<td></td>
<td>บริษัท M </td>
<td>บริษัท U </td></tr>
<tr>
<td>สูง </td>
<td>0.3 </td>
<td>100% </td>
<td>20% </td></tr>
<tr>
<td>ปานกลาง </td>
<td>0.4 </td>
<td>15% </td>
<td>15% </td></tr>
<tr>
<td>ต่ำ </td>
<td>0.3 </td>
<td>(70%) </td>
<td>10% </td></tr>
</tbody></table>
K^<sub>M</sub> = 0.3(100%) + 0.4(15%) + 0.3(-70%) = 15%<br />K^<sub>U</sub> =
0.3(20%) + 0.4(15%) + 0.3(10%) = 15%<br />
<br />
<u>สรุป</u> อัตราผลตอบแทนเท่ากัน ที่ 15% แต่การกระจายความน่าจะเป็นต่างกัน
ความเสี่ยงจึงต่างกันmodalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1309203213250181022.post-6165760015737347182013-09-24T23:11:00.001-07:002013-09-24T23:11:16.401-07:00พันธบัตรจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้งการใช้เครื่องคิดเลขคำนวณ ต้องปรับเปลี่ยนดังนี้ <br />
<pre><b>เวลากด Input</b>
N (จำนวนปี) เปลี่ยนเป็นจำนวนงวด (Nx2)
I/Y (อัตราดอกเบี้ยต่อปี) เปลี่ยนเป็น ดอกเบี้ยต่องวด (N/2)
PMT (เงินรายปี) เปลี่ยนเป็น เงินรายงวด (PMT/2)
PV เท่าเดิม
FV เท่าเดิม
</pre>
<pre><b>เมื่อได้คำตอบ</b>
อย่าลืมว่า เป็นคำตอบเป็นรายงวด ถ้าตำตอบเป็น N หรือ I/Y หรือ PMT ต้องแปลงเป็นรายปีก่อน
I/Y เวลาจะตอบ คูณ 2
PMT เวลาจะตอบ คูณ 2
N เวลาจะตอบ หาร 2
</pre>
<h2>
<span class="mw-headline" id=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.A1.E0.B8.B4.E0.B8.99.E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.AA.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.A2.E0.B8.87.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.9E.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.98.E0.B8.9A.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.A3">การประเมินความเสี่ยงของพันธบัตร</span></h2>
<ul>
<li>ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) </li>
</ul>
<dl>
<dd>
<ol>
<li>มีความสัมพันธ์กับมูลค่าพันธบัตร </li>
<li>ผู้ถือพันธบัตรระยะยาวจะประสบความเสี่ยงนี้ </li>
</ol>
</dd></dl>
<ul>
<li>ความเสี่ยงจากอัตราผลตอบแทนที่นำไปลงทุนต่อ (Reinestment Rate Risk) </li>
</ul>
<dl>
<dd>
<ol>
<li>มีความสัมพันธ์กับรายได้ของผู้ถือพันธบัตร </li>
<li>ผู้ถือพันธบัตรระยะสั้นจะได้รบความเสี่ยงนี้ เช่น
พันธบัตรถูกไถ่ถอนแล้วต้องนำเงินไปลงทุนโดยได้รับดอกเบี้ยน้อยกว่าเดิม
</li>
</ol>
</dd></dl>
<ul>
<li>ความเสี่ยงจากหนี้สูญ </li>
</ul>
<br />
<dl>
<dd>
<ol>
<li>เป็นความเสี่ยงที่ผู้ถือพันธบัตรอาจไม่ได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นคืน </li>
<li>ความมั่นคงของบริษัทดูได้จากอันดับเครดิตของบริษัทจัดอันดับ </li>
</ol>
</dd></dl>
modalhttp://www.blogger.com/profile/12982800068288455457noreply@blogger.com0